เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว


2014-05-08 /  นายวิฑูรย์  อินทร์ลุน / เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ไทย / เรือนจำไทเป


ผมเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า คนอีสาน อาชีพหลักของผมคือการทำนา ทำไร่เมื่อเสร็จจากหน้านา ผมก็จะไปหารับจ้างตัดอ้อย หมดจากการตัดอ้อยผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำซึ่งคนที่จบการศึกษาไม่สูงอย่างผม งานที่ได้มักจะเป็นแบกยก หาม ที่เราเรียกว่ากรรมกรนั่นเอง
คนเราทุกคนไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตสุขสบาย แม้แต่คนที่ได้รับการศึกษามาน้อยอย่างผมก็มีความคิดความฝันอยากไปสู่จุดที่สูงสุดของชีวิต คือความสุขความสบาย ผมเลยตัดสินใจนำพาชีวิตของตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำงานในเมืองไต้หวัน โรงงานที่ผมทำอยู่นั่นอยู่ที่ต้าเหลียวเขตอุตสาหกรรมลุ่ยฟางของเมืองจีหลง เป็นโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ ผมเป็นพนักงานชายคนเดียวในแผนกที่คอยยกของ เพราะเพื่อนร่วมงานในแผนกเป็นพนักงานหญิงทั้งหมด งานที่ผมต้องรับผิดชอบคือยกเอาชิ้นงานจากโกดังไปส่งในแผนกก่อนเลิกงาน หัวหน้าจะสั่งงานเอาไว้ว่า พรุ่งนี้ผมจะต้องยกเอาชิ้นงานส่งในแผนกกี่ชิ้น พอตอนเช้าผมมาถึงที่ทำงานผมก็ลงมือทำทันที ผมมักจะมาทำงานก่อนเวลาเสมอ เมื่อผมทำงานที่ผมรับผิดชอบเสร็จผมก็รีบไปช่วยเพื่อนร่วมงานบ้างก็ไปช่วยจู่เลิ่น ทำอยู่อย่างนี้เป็นประจำเคอจางก็รู้สึกเห็นใจตลอดจากการทำงานก่อนเวลาและเสร็จงานที่ตัวเองรับผิดชอบแล้วเข้าไปช่วยงานเพื่อนร่วมงาน
เคอจางซื้ออาหารมาฝากผมทุกเช้าตามด้วยขนมและผลไม้จากเพื่อนร่วมงาน
หลายครั้งที่ผมไม่สบายเคอจางก็พาผมไปหาหมอด้วยตัวท่านเองพร้อมจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยเงินจากกระเป๋าของท่านเอง  วันหนึ่งผมดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยนอนตื่นสายเคอจางหาผมไม่เจอเลยโทรศัพท์ตาม ผมก็เลยบอกท่านว่าผมยังอยู่ที่หอท่านก็บอกผมรีบแต่งตัวรอแล้วท่านก็ขับรถมารับผมไปทำงาน ท่านเอาใจใส่และดูแลผมดีมากจนผมคิดว่าท่านเป็นญาติของผมแท้ ๆ ผมคิดว่าที่ท่านดูแลเอาใจใส่และดีกับผมคงมาจากความขยันความรับผิดชอบในหน้าที่การงานของผมดีใจจนพูดไม่ออก เพราะท่านช่วยพูดกับผู้จัดการให้ผมไปทำงานในตำแหน่งเฝ้าเตาอบซึ่งแปลว่าผมจะได้รับเงินค่าแรงเพิ่มมากขึ้นอีก 1 เท่า ท่านบอกว่าท่านอยากให้ผมเก็บเงินได้เยอะ ๆ เพราะเห็นว่าผมเสียค่าหัวมาแพง  ชีวิตของผมในช่วงนั้นมันชั่งสุขใจเหลือเกินงานก็ดีเงินก็ได้เยอะ แถมเคอจางและเพื่อนร่วมงานก็ดีกับผมด้วย ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจริง อย่างพระท่านว่ามีสุขก็ต้องมีทุกข์ ได้ลาภย่อมเสื่อมลาภ ชีวิตคนมีขึ้นก็มีลง จุดหักเหของชีวิตผมก็มาถึงก่อนที่ผมจะครบสัญา 4 เดือน เพื่อนที่หอพักได้พาคนไต้หวันเข้ามาเสพยาเสพติดที่หอพัก ผมเลิกงานมาเจอพวกเขากำลังเสพยาเสพติดพอดีด้วยความคึกคะนองของผม ผมก็เลยร่วมวงเสพยาเสพติดกับพวกเขา 2-3 ครั้ง แรก ๆ พวกเขาให้ผมเสพฟรีต่อมาพวกเขาให้ผมช่วยออกเงินซื้อ แต่ผมไม่อยากเสียเงินพวกเขาเลยเสนอให้ผมหาลูกค้าให้พวกเขา แล้วเขาจะแบ่งให้เสพฟรี ผมเลยตกลงหาลูกค่าให้พวกเขาโดยใช้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้า ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการที่ผมใช้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้านั้น ตำรวจได้ดักฟังเสียงโทรศัพท์และบันทึกไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ผมทำงานตามปรกติเรื่อยมา โดยเคอจ่างไม่รู้เรื่องเลย
เมื่อสัญาจ้างผมใกล้ครบกำหนด ทางโรงงานต่อสัญากับผมอีก 3 ปีผมก็หวังว่าจะกลับมาเก็บเงินอีกสักก้อนแล้วกลับไปทำมาหากินอยู่ที่บ้าน แต่ผมต้องผิดหวังเมื่อตำรวจจับคนไต้หวันได้ก่อน แล้วก่อนเดินทางกลับเมืองไทย 4 วันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาจับผมไปดำเนินคดี คนที่ร้องให้คนแรกคือเคอจาง ท่านคงนึกไม่ถึงว่าผมจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ ผมได้แต่นิ่งและเสียใจ ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แล้วผมก็ถูกส่งตัวจากจีหลงไปอี๋หลานเพื่อรอการตัดสินคดี แม้ผมทำผิดกฏหมายเคอจ่างก็ยังอุตสาเดินทางจากจีหลงไปอี๋หลานเพื่อเยี่ยมผม ท่านบอกว่าท่านพยามหาทางช่วยผมเต็มที่แล้ว แม้แต่เสนอเงินให้ตำรวจก็ไม่สำเร็จ แล้วศาลก็ตัดสินว่าผมมีความผิดในข้อหาร่วมกันค้ายาเสพยาเสพติด จวบจนทุกวันนี้ผมไม่เคยลืมเคอจ่างผู้มีพระคุณต่อผมท่านนี้เลย ผมอยากมีโอกาสก้มลงกราบขอบพระคุณที่ท่านดูแลเอาใจใส่ตัวผมด้วยดีเสมอมา ผมหวังว่าผมจะได้โอกาสก้มลงกราบขอโทษที่ทำให้ท่านเสียใจและขอบพระคุณท่านที่สนามบินเถาหยวนในวันที่ผมได้รับอิสรภาพ
ผมหวังว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเพื่อให้ทุก ๆ ท่านเข้าใจอย่างแจ่มชัดของผลได้ผลเสียจากการกะทำของตัวเอง  แน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะกะทำการสิ่งใดก็ตาม เราเองนั่นแหละจะเป็นผู้รับผลจากการกระทำของตัวเองเหรียญมีสองด้านฉันใด การดำเนินชีวิตของคนเราย่อมมีดีมีชั่วฉันนั้น ขึ้นอยู่ว่าเรา ๆ ท่าน ๆ จะเลือกทำอย่างใด