จากชีวิตชนบทในเมืองไทย หรือที่ใครๆเรียกกันว่า แรงงานที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะถูกมองว่ายากจน เป็นแรงงานไร้ฝีมือ จะทำอย่างไรเล่าในเมื่อเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าเราเลือกทางเดินได้ ฉันทำงานในตลาดแรงงานในบ้านเกิดมีกินแต่ไม่มีเก็บ ฉันดำเนินชีวิตเหมือนผู้คนทั่วๆไป ถึงฤดูทำนาก็ทำนา หมดหน้านาก็รับจ้างทั่วไปเป็นสาวโรงงาน รายรับรายจ่ายเดือนชนเดือน เลิกงานเหนื่อยมาก็พักผ่อน ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปเรื่อยๆ มีอยุ่วันหนึ่งลูกสาวของฉันขณะนั้นเรียนอยู่ชั้น ป 5 บอกฉันว่า(แม่หนูอยากจะเรียนต่อ ถ้าจบชั้นประถมแล้ว)ฉันอึ้งไป ทำไมนะฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยเพราะวันๆก็เหนื่อยกับงาน กลับมาบ้านก็ต้องดูแลลูกสาวคนเล็กซึ่งตอนนั้นขวบกว่าเอง เหนื่อยซะจนไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอะไร จนได้ฟังคำพูดของลูก.นี่ฉันไม่ได้เตรียมความพร้อมหรือวางอนาคตของลูกไว้เลยหรือ? จากวันนั้นความต้องการของลูกได้จุดประกายให้กับฉัน ลูกพูดว่า"พ่อของเพื่อนๆไปทำงานเมืองนอก มีเงินปลูกบ้าน มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีเงินกินขนม"ฉันตอบลูกว่าเพราะเขามีพ่อที่มีความรับผิดชอบไง ส่วนฉันเลิกกับสามีที่ติดสุราเรื้อรัง ลูกๆทั้งสามอยู่ในความรับผิดชอบของฉันคนเดียว ในตอนที่ฉันไปทำงานฉันฝากลูกคนเล็กไว้กับญาติๆลูกๆยังเล็กขขาดนั้น เขาไม่มีพ่อแล้วยังจะขาดแม่อีกหรือมันช่างเป็นโจทย์ปัญหาที่ฉันคิดไม่ตก ความคิดวกไปเวียนมาเหมือนพายเรือในอ่างน้ำ เป็นเช่นนี้ไม่ได้แล้วฉันต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดลงไป กับการตัดใจจากลูกๆเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าให้กับอนาคตของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ฉันจะทำใจได้ นึกถึงวันที่ฉันออกเดินทางเพื่อที่จะมาทำงานใต้หวัน ภาพของลูกๆทั้งสามคนช่างชัดเจนไม่เคยลืมเลือนจากสมอง ลูกๆที่มองตามแม่ ลูกคนเล็กร้องไห้จนล้มลงกองกับพื้น ใจฉันแทบจะขาดรอนๆอยากจะกระโดดลงรถก่อนที่รถจะออกตัวไปเร็วกว่านี้ ในใจตอนนั้นนึกเดือดแค้นสามีที่ไม่เอาถ่ายหากเขาทำตัวเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัวลุกๆคงไม่ต้องมาตกในสภาพนี้คิดไปน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลไม่หยุด ฉันคิดว่าเวรกรรมอะไรของฉันนะ "ในโลกนี้จะมีใครมีความทุกข์เท่าฉันไหม๊"เมื่อตัดสินใจเดินหน้าก็ถอยไม่ได้แล้ว เพราะภาระหนี้สินที่หยิบยืมเดินเรื่องมาทำงานเมืองนอก ฉันเปลี่ยนความน้อยเนื้อต่ำใจมาใส่ไฟเป็นพลังอันเข้มแข็ง"เพื่อลูก"ฉันต้องทำให้ได้ ลงจากเครื่องบินเหยียบย่างที่ผืนดินใต้หวัน ดินแดนแห่งความฝันของหลายๆคน ที่นี้ฉันไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ภาษาที่แตกต่างทำให้ฉันกังวลระคนความคิดว่า"ฉันจะโดนหลอกลอยแพหรือไม่ ทำงานจะได้ค่าแรงไหมหนอ เขาจะพาฉันไปส่งตามสัญญางานหรือเปล่า หลายคำถามประเดประดังเข้ามา ในสนามบินด้วยความรีบเร่งเดินตามเอเย่นต์เพราะกลัวพลัดหลง ฉันเดินชนคนใต้หวัน และกล่าวขอโทษเขาแต่แปลกที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ ฉันตกใจกลัวเขาเอาเรื่องฉัน จะกระทั่งล่ามเดินกลับมาหาฉันว่าเกิดเรื่องอะไร ล่ามถามทั้งสองฝ่าย ที่ไหนได้ฉันพูดผิดจะกล่าวขอโทษ(เต้า เซี่ย)แต่ฉันกลับพูด(เติ่ง อี่ เซี่ย)เพราะจำคำสับสน เฮ่อ ฉันยิ่งกังวลเรื่องภาษามากขึัน มาถึงวันแรกเอเย่นพาฉันไปตรวจโรค ทำใบถิ่นที่อยู่ แล้วจึงไปส่งที่บ้านนายจ้าง นายจ้างคนแรกของฉันเป็นเกษตรกรอยู่ที่เมืองเจียอี้ เอเย่นพูดอะไรฉันไม่เข้าใจเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ล่ามช่วยแปลว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง ฉันเอาสมุดจดตามที่ล่ามบอก หลังจากทำความเข้าใจในสิ่งที่ต้องทำล่ามกลับไปแล้วนายจ้างพยายามจะพูดคุยกับฉันแต่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง นายจ้างจึงโทรศัพท์กลับไปหาเอเย่น แล้วนายจ้างก็ยื่นโทรศัพท์ให้ฉันคุยล่าม ล่ามบอกฉันว่านายจ้างเธอเขาจะให้เธอโทรกลับไปที่เมืองไทยว่าเธอมาถึงใต้หวันอย่างปลอดภัยแล้ว นายจ้างคิดว่าญาติๆทางเมืองไทยคงกำลังรอฟังข่าวคราวของเธออยู่ ฉันรู้สึกตื้นตันใจจริงๆเพราะมันตรงตามความคิดของฉัน พ่อ แม่ ลูกๆและญาติพี่น้องเขารอข่าวฉัน นี่คือน้ำใจที่ฉันได้รับจากคนใต้หวัน วินาทีนั้นฉันบอกตัวเองเลยว่า ฉันจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และด้วยความเมตตากรุณาของคนที่ไม่ได้ภาษา นายจ้างยังอดทนสั่งสอนจนฉันได้ทำงานจนถึงทุกวันนี้ นายจ้างจะพูดเสมอว่า"หนี่ มั่นๆ เสวีย"ช่วยบอกในสิ่งที่ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมต่างๆสิ่งเหล่านี้ค่อยๆซึมซับเข้าไป ประเพณีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษทำใหคนรุ่นหลังรู้จักความกตัญญูหรือพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้า ให้ผู้คนยึดมั่นในคุณงามความดี ฉันชอบบรรยากาศในวันตรุษจีนที่ทุกคนมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ดูสรวลเสเฮฮาอบอุ่น โดยเฉพาะเหล่าป่านเมื่อได้จิบเหล้าเข้าไป ใครๆก็รู้ว่าแกเกรงใจไท่ๆ(กลัวเมีย)มาก แกจะพูดเสมอว่างานเป็นงานดื่มสังสรรนิดหน่อยไม่เป็นไร การพูดจาหยอกเหย้าในหมู่เพื่อนฝูงของนายจ้างที่มาร่วมวงสนทนา เล่นไพ่นกกระจอก ถึงเวลาเที่ยงคืนจะเข้าวันใหม่มีการจุดประทัดเพื่อรับวันใหม่ด้วย การทำงานในบ้านตำแหน่งผู้อนุบาล ไม่มีอะไรที่ตื่นเต้นแตกต่างแต่ที่ฉันซึมซับรับรู้ได้คือวิถีชีวิตของชุมชน หลังจากเสร็จงานบ้านที่ทำฉันเดินเข็ญอาม่าไปตามทางในหมู่บ้านภายใต้แมกไม้ที่ทางการปลูกไว้อย่างร่มรื่น ข้างทางเป็นทางจักรจานและก็มีคนวิ่งออกกำลังกายเหยาะๆ สองข้างทางมีต้นไม้จึงเย็นสบายดีจัง บ้านเรือนในชนบทไม่แออัด เดินไปได้ยินเสียงทักทายของคนเฒ่าคนแกช่างอบอุ่นดีแท้ บ้างก็กวักมือเรียกให้เข้าไปพูดคุย ท่าทางกุลีกุจอยกโต๊ะน้ำชาเล็กๆของอากง อาม่าจัดหาถ้วยน้ำชา กาน้ำ ขนมขบเคี้ยว และก็เชิญชวนเพื่อนบ้านคนอื่นที่ผ่านไปมา บางคนกลับจากไร่ นา สวน พูดคุยสัพเพเหระ อากงหูตึงฟังคำพูดของคู่สนทนาไปอีกอย่าง สร้างความขบขับหัวเราะขึ้นมาได้ ความสุขมิตรภาพนี้ซื้อหาไม่ได้ด้วยเงินตรา บุคคลหนุ่มสาวเช้าไปทำงาน หรือไปทำงานที่ต่างถิ่น เรือกสวนไร่นาจะเป็นคนเฒ่าคนแกดูแล ฉันก็พาอาม่าไปพูดคุยเป็นเพื่อนพวกเขา เพื่อนบ้านบางคนยังมีผัก ผลไม้ มะละกอ ถั่ว แบ่งปันให้ฉันด้วย ทำให้นึกถึงสมัยเป็นเด็กสังคมชนบทที่เมืองไทยก็มีการแบ่งปันเช่นนี้เหมือนกัน ฉันอยากจะให้สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในสังคม เป็นวัฒนธรรมที่ควรค่าอนุรักษ์อย่างยิ่ง แต่ในยุคสมัยนี้อาจเห็นได้น้อยลง การแบ่งปันช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้อ่อนโยน มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฉันว่าเป็นการปลูกฝังที่ดี เดินออกจากบ้านอากง อาม่าถึงเวลาเลิกเรียนของเด็กๆ เมื่อเด็กๆเห็นฉันกับอาม่าก็ตะโกนเรียก "อาอี๋ อาจ้อ"ฉันรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข ช่วยเติมเต็มจิตใจที่แห้งเฉาของฉันให้ชุ่มชื่นขึ้นมาได้ เพราะความห่างไกลจากครอบครัว เดินไปมองเห็นท้องทุ่งที่เกษตรกรปลูกพืชที่แตกต่างกัน ที่นาบางผืนเขียวขจี บางผืนข้าวออกรวงเหลืองอร่าม บางผืนปลูกข้าวโพด หรือพืชผักอื่นๆ และบางผืนมีการพักฟื้นผืนดินด้วยการปลูกต้นโสน และผักกาดดอก ดอกดาวกระจายมองแล้วเพลิดเพลินดี ทุ่งดอกไม้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ชุมชนด้วย เมื่อฉันถามถึงเทคนิคทางด้านการเกษตรพวกเขาก็กระตือรือล้นที่จะบอกเคล็ดลับวิธีการกับฉัน การเกษตรในใต้หวันถือว่าก้าวหน้าเพราะมีการพัฒนาวิจัย ชาวบ้านให้ความเป็นกันเอง ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ที่เมืองไทยของฉัน แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน และที่นี้ฉันยังได้รู้จักกับเพื่อนชาวอินโด เวียดนาม จากการแนะนำของนายจ้างพวกเราเอง เพื่อนอินโด เวียดนามสอนให้ฉันทำอาหารของประเทศพวกเขาด้วย นายจ้างสอนทำอาหาร ห่อบ๊ะจ่างในเทศกาลชิงหมิง ทำขนมถ้วยฟู ขนมกุ้ย ตอนตรุษจีน อาม่าฉันชอบดูแห่เจ้า ชอบให้ฉันเข็ญไปดูงิ้วที่งานวัด ต่อมามีการร้องเพลงเต้นในเครื่องแต่งกายแบบนุ่งน้อยห่มน้อย อาม่าบอกว่าไม่ชอบต่อมาจึงไม่ค่อยได้ไปดูอีก บางครั้งมีแห่เทพเจ้าพวกเราก็เข้าไปสักการะ มีเทศกาลงานเจ้าแม่มาจ้อที่เป่ย กั่ง(เจียอี้)ด้วย มีอีกมากมายที่ฉันได้เห็นได้เรียนรู้ มันอาจจะเป็นความโชคดีของฉันที่ได้นายจ้างใจดี มีคุณธรรมดูแลฉันเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว อุปสรรคก็มีบ้างแต่ทุกอย่างเรียนรู้ได้ ฉันอยู่ที่บ้านนอกนี้แทบจะไม่ได้ซื้อหาอะไร จึงเก็บเงินได้และใช้หนี้หมดในแทร็คแรกนี้ แล้วยังเหลือเงินซื้อที่นาได้หนึ่งผืนด้วย ด้วยการรับรู้ฟังข่าวสารจากทางการที่ให้ความรู้เรื่งสิทธผลประโยชน์แก่แรงงาน ในการกลับมาทำงานรอบสองฉันจึงไม่ต้องเสียค่าคอมให้บริษัทจัดหางาน แต่ยังคงใช้บริการของเอเย่นที่ใต้หวัน เสียค่าบริการรายเดือน หนึ่งพันห้าร้อยบาท กลับมาคราวนี้ฉันได้ย้ายขึ้นมาอยุ่กรุงไทเป เพราะอาการเจ็บป่วยของอาม่า มาอยูกับลูกชายของอาม่าอีกคน บอกตามตรงว่าฉันไม่อยากจากหมู่บ้านชนบทที่เจียอี้เลย ฉันคุ้นเคยกับทีนั่น แต่เจ้านายบอกว่าต้องพาอาม่ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลไทเป บ้านนายจ้างคนนี้อยู่เขตซิ่นอี้ มองไปเห็นตึกไทเป 101สูงตระหง่าน ตึกราบ้านช่องดูหนาแน่นแออัด ผู้คนพลุกพล่าน เร่งรีบ ฉันรู้สึกอึดอัดเพราะทีนี่คับแคบกว่าที่เจียอี้เยอะ แล้วผู้คนจะมีน้ำใจเหมือนที่ชนบทหรือเปล่านะ?ชั้นล่างของบ้านเปิดเป็นร้านอาหาร เปิดขายช่วงบ่ายถึงเที่ยงคืน ถ้าค้าขายดีก็ตีหนึ่งตีสอง ฉันจึงต้องทำหน้าที่ช่วยดูแลหลานชายสองคนของนายจ้างด้วย เด็กสองคนทำให้ฉันไม่เหงา ซักโน่นถามนี่ เขาหัดเขียนอักษรจีน ฉันก็หัดตามเป็นขั้นแรกของการฝึกเขียนสำหรับฉัน เมื่อฉันออกเสียงไม่ถูกเด็กๆก็จะบอกว่า "โตแล้วยังพูดไม่ถูกอีก พูดไม่ชัดฟังไม่รู้เรื่อง ฉันบอกกับเด็กๆว่าฉันไม่ใช่คนใต้หว้น เป็นคนไทยเด็กๆก็ซักไซ้ใหญ่ เมืองไทยอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร? จากการพูดคุยมันเป็นการฝึกภาษาของฉันไปในตัวด้วย พอนายจ้างว่างจากงานเขาพาอาม่าและฉันไปที่สวนสาธารณะ มีหลายที่ๆให้ผู้คนพักผ่อนเดินออกกำลังกาย ยามเย็นมีอากง อาม่ามารำไท่เก็ก แต่เด็กๆไม่ค่อยเห็น ต่อมาจึงสังเกตได้ว่าเด็กๆหลังเลิกเรียนยังจะต้องไปเรียนเสริม(ปู่ สี ปัน )อีกดูเหมือนว่าเด็กใต้หวันจะเรียนหนักมาก พ่อแม่ส่งไปเรียนพิเศษโน่นนี่จนบางครั้งฉันรู้สึกสงสารเด็กๆที่เขาไม่ได้เล่นซุกซนตามวัย ผู้ปกครองอยากให้เด็กๆฉลาดเรียนเก่ง พยายามให้ทุกสิ่งกับเด็กๆจนเด็กอาจไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกอย่างคือการแข่งขัน นี่ไงฉันว่าทำให้จิตใจผู้คนแข็งกระด้าง มีแต่การแข่งขันแก่งแย่ง มันเป็นการปลูกฝังความเห็นแก่ตัวไปแบบไม่รู้สึกตัว แต่อย่างว่าแหล่ะนะเพราะสภาพเศรษฐกิจจำต้องแข่งขัน ฉลาดมีความรู้จึงจะมีงานที่ดี มีรายได้สูงพอจะรับผิดชอบครอบครัว ในประเทศทีมีคนฉลาดมีความรู้ก็ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าพัฒนา อยู่ต่อมาฉันเริ่มคุ้นเคยกับความเจริญ จะเดินทางไปไหนก็สะดวกสบายกับบริการรถไฟฟ้าใต้ดินที่สะดากและรวดเร็ว หรือการจะพาอาม่ากลับไปบ้านนอกที่เจียอี้ก็นั่งรถไฟความเร็วสูง นั่งสบายไม่มีความกดอากาศเหมือนในเครื่องบิน ไม่เสียเวลาเช็คอิน และที่ฉันชอบมากมากๆอีกอย่างหนึ่งคือร้านสะดวกซื้อในใต้หวัน สีสรรของตลาดนัดกลางคืน และเข็ญอาม่าไปตลาด(ฉวน ถ่ง ซื่อ ฉ่าง)ได้ฟังพ่อค้า แม่ค้า มีลีลาเท็คนิคเรียกลูกค้าได้น่าสนใจดีทีเดียว ทำให้ได้เห็นสัจธรรมการดิ้นรนเพื่อชีวิตของคนในสังคม อีกอย่งสำหรับงานอนุบาลอย่างฉันคือต้องพาคนป่วยไปโรงพยาบาล ถึงไม่มีนายจ้างไปด้วยก็ไม่ต้องกังวล ถนนมีทางลาดสำหรับรถเข็ญและคนพิการ เห็นมีที่สำหรับจอดรถของคนพิการด้วย นี่ไงเรื่องของความเอาใจใส่ สิทธิมนุษยชน ถ้าขึ้นรถไฟธรรมดาก็มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ ไปถึงโรงพยาบาลก็มีอาสาสมัครคอยแนะนำ หมอพยาบาลก็พยายามอธิบายถึงอาการคนป่วยให้ฉันเข้าใจพอพวกเขารู้ว่าฉันเป็นต่างชาติก็อธิบายซ้ำ ฉันรู้สึกดีที่มีอาสาสมัครตามที่ต่างๆเช่นไปรษณีย์ ฉันว่ามันเป็นการเสียสละเพื่อสังคม เมื่อฉันไปโรงพยาบาลได้รู้จักเพื่อนแรงงานต่างชาติ เจ้าสาวต่างชาติบางคนที่ทำงานผู้อนุบาลตามโรงพยาบาล มีข่าวสารเรื่งราวต่างๆได้แบ่งปันซึ่งกันและกัน ฉันจึงได้รู้ว่ามีหลายหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือดูแลแรงงาน และผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่ ฉันได้ขอลางานนายจ้างเป็นครั้งคราวมีจัดสันทนาการ จัดงานปีใหม่ สงกราณต์ไทย งานวัฒนธรรมอาเซี่ยน เพื่อให้ได้เข้าใจในวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน การเรียนรู้ทำให้ฉันฉลาดขึ้น ขอบคุณใต้หวันที่ใหสิ่งนี้กับฉัน มิตรภาพไร้พรมแดนฉันได้สัมผัสที่ใต้หวันแห่งนี้
評審評語 (1):
มิตรภาพไร้พรมแดน
สาเหตุที่เลือกผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าบรรยายมาทำให้เห็นภาพชีวิตการต่อสู้ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นได้บ่อยในสภาพสังคมปัจจุบันซึ่งต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูลูกด้วยความลำบากแต่เพียงผู้เดียว และตัดสินใจจากบ้านเกิดมาทำงานในไต้หวัน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกและพ่อแม่ พอมาทำงานในไต้หวันเป็นผู้อนุบาลดูแลคนแก่ ผู้เขียนได้ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งและดูแลเอาใจใส่งานที่ทำเป็นอย่างดี จนเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความไว้วางใจจากนายจ้าง และหาโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ทางหน่วยงานหรือรัฐบาลจัดขึ้น เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทางด้านภาษา และแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนคนชาติอื่นๆ อีกทั้งผู้เขียนยังสังเกตเห็นชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมของผู้คนในสังคมที่ผู้เขียนพักอาศัยอยู่ได้อย่างน่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและการทำงานของผู้เขียนที่น่านำมาเป็นตัวอย่างให้ผู้อนุบาลคนอื่นๆ นำมาฝึกปฏิบัติได้
評審評語 (2):
這篇 มิตรภาพไร้พรมแดน(暫譯:友誼無疆界) 作者是位外籍看護工,她以簡單字句、易解體會的俐落文筆,將自己單身撫養三名幼兒、家庭重擔、剛來臺時的心裡恐懼,以至來臺後如何自我調適及在臺灣所見到之友誼,加上她自己的生活哲學,完美地表達出來,讀者看完這篇文章後,不只了解及體會外籍勞工在臺灣工情形,對臺灣文化、習俗及人民友善度、也一定會有深刻的印象,實屬一篇好文章。
評審評語 (1):
มิตรภาพไร้พรมแดน
สาเหตุที่เลือกผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนเล่าบรรยายมาทำให้เห็นภาพชีวิตการต่อสู้ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นได้บ่อยในสภาพสังคมปัจจุบันซึ่งต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูลูกด้วยความลำบากแต่เพียงผู้เดียว และตัดสินใจจากบ้านเกิดมาทำงานในไต้หวัน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกและพ่อแม่ พอมาทำงานในไต้หวันเป็นผู้อนุบาลดูแลคนแก่ ผู้เขียนได้ตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็งและดูแลเอาใจใส่งานที่ทำเป็นอย่างดี จนเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความไว้วางใจจากนายจ้าง และหาโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ทางหน่วยงานหรือรัฐบาลจัดขึ้น เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทางด้านภาษา และแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนคนชาติอื่นๆ อีกทั้งผู้เขียนยังสังเกตเห็นชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมของผู้คนในสังคมที่ผู้เขียนพักอาศัยอยู่ได้อย่างน่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและการทำงานของผู้เขียนที่น่านำมาเป็นตัวอย่างให้ผู้อนุบาลคนอื่นๆ นำมาฝึกปฏิบัติได้
評審評語 (2):
這篇 มิตรภาพไร้พรมแดน(暫譯:友誼無疆界) 作者是位外籍看護工,她以簡單字句、易解體會的俐落文筆,將自己單身撫養三名幼兒、家庭重擔、剛來臺時的心裡恐懼,以至來臺後如何自我調適及在臺灣所見到之友誼,加上她自己的生活哲學,完美地表達出來,讀者看完這篇文章後,不只了解及體會外籍勞工在臺灣工情形,對臺灣文化、習俗及人民友善度、也一定會有深刻的印象,實屬一篇好文章。