ชีวิตในไต้หวัน

2014-05-30 /  นางจันทร์วิภา หลิน  /  ชีวิตในไต้หวัน / ไทย 泰國 / 屏東新移民  

"ชีวิตในไต้หวัน
ดิฉันเป็นคนไทยที่เกิดในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพราะที่นี้มีโรงเรียนสอนภาษาจีนและมีวุฒิการศึกษารับรองเวลาเรียนจบด้วย  ในอำเภอแม่สายมีคนไทยเชี้อสายจีนยูนหนานอยู่มาก เกือบจะทุกหลังคาบ้าน บ้านหลังใหนที่ดูดีและร่ำรวยก็จะเกี่ยวข้องกับประเทศไต้หวันเป็นส่วนใหญ่ สมัยนั่นใครๆก็นิยมที่จะเดินทางไปทำงานที่ใต้หวัน แล้วกลับมามีเงินทองมากมาย ดิฉันเห็นคนอื่นเขามีฐานะดีขึ้น มีการศึกษาที่ดี และคุณภาพขชีวิตที่ดีขึ้น ดิฉันก็หวังที่จะเป็นเหมือนเขาบ้าง และเริ่มมีความฝันที่จะเดินทางเข้ามาศึกษาหาความรู้ที่ประเทศไต้หวัน จึงได้เริ่มเรียนภาษาจีนที่ ตำบลบ้านถ้ำ ซึ่งอาจารย์ส่วนนใหญ่ที่สอนก็จบจากไต้หวันด้วยกันทั้งนั้น ดิฉันเรียนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ดิฉันก็สอบชิงเพื่อมาศึกษาต่อที่ไต้หวัน มันเป็นอะไรที่วิเศษมากที่ความฝันของดิฉันจะเป็นจริง เพราะดิฉันได้สอบติดที่ร.ร ในเขตจงลี เถาหยวนแห่งหนึ่งในไต้หวัน ได้มาเรียน ปวส ต่อจนจบ ซึ่งในตอนแรกๆ ภาษาจีนของดิฉันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เลย พอสอบติดที่ไต้หวัน ปัญหาที่ตามมาก็คือเรื่องค่าใช้จ่าย เช่นตั๋วเครื่องบิน ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ต่างๆ เป็นโชคดีของดิฉัน ที่ทางคุณอาได้ให้ดิฉันไปช่วยขายทุเรียนที่ภูเก็ต จึงทำให้ดิฉันมีเงินเก็บมากพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆได้ พอมาถึงไต้หวัน ดิฉันได้อยู่หอหญิงโรงเรียนเลย ดิฉันเลือกเรียนคณะคหกรรม เพราะที่นี้
สอนหลายๆอย่าง มีทั้งอาหารจีน แบเกอรี่ สอนเย็บผ้า ปักผัา สอนงานประดิษฐ์หลายๆอย่าง ซึ่งดิฉันเองก็มีความสนใจในด้านนี้อยู่แล้ว การเรียนในคณะนี้ ต้องมีค่าใช้จ่ายมากในการซื้ออุปกรณ์เรียน และที่สำคัญฟังก็ไม่ค่อยจะเข้าใจทั้งหมด เหมือนตัวเองมาอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ร่วมด้วย อาหารที่ทำก็จืดมากๆ จนต้องไปแอบซื้อเกลือมาโรยกับข้าวที่หลัง เวลาที่ทานอาหาร ก็มักจะชวนให้คิดถึงน้ำปลา น้ำพริกที่เมืองไทยจริงๆ แต่ก็ต้องทนเพื่ออนาคต เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ค่าใช่จ่ายก็ยิ่งไม่ค่อยพอจะใช้ จึงได้ไปปรึกษาอาจารย์ว่า มีทางใดไหมที่จะหารายได้พิเศษที่จะมาจ่ายค่าเล่าเรียนได้ อาจารย์เป็นคนใจดีมากจึงให้ดิฉันช่วยงานโรงเรียนทุกอย่างเท่าที่จะให้ช่วยได้ จึงพอกับค่าใช้จ่ายนิดหน่อย 
ตั้งแต่ดิฉันมาอยู่ที่นี่มีสิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจในหลายๆอย่าง เช่น 
การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหาร ให้ใช้เวลาเพียง 30 นาที กำหนดให้นอนกลางวัน เพื่อจะได้พักผ่อนสายตาและมีสมาธิในการเรียนภาคบ่ายต่อไป ห้ามใช้เสียงดัง พอดิฉันสำเร็จการศึกษา ปวส แล้ว ดิฉันก็เลือกที่จะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในไต้หวันในเขตจงลี่ และได้ทำงานด้วยเรียนไปด้วย แล้วชะตาก็ลิขิตให้ดิฉันได้รู้จักกับสามีในปัจจุบันนี้ เขาเป็นคนภาคใต้อยู่พิงตง ภาคใต้สุดในไต้หวัน เรารู้จักกันตอนไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เราได้เรียนรู้กันและกันจนได้แต่งงานกันในที่สุด และทำเรื่องจดทะเบียนสมรสถูกต้องทุกอย่าง ถึงแม้ว่าขั้นตอนในการแต่งงานกับชาวต่างชาติจะยุ่งยากและยังต้องยื่นเรื่องไปยังประเทศไทยและส่งกลับมาที่ไต้หวัน และสุดท้ายมันก็ผ่านไปด้วยดี จนได้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องการกฎหมาย จนมีพยานรักถึง 2 คน ดิฉันได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับสามีที่พิงตงภาคใต้สุดของไต้หวัน  ตอนแรกดิฉันไม่คุ้นเคยเลยกับเขตชนบท แถวๆบ้านก็ปลูกต้นหมากกันเยอะมาก ดิฉันอดสงสัยในการทำอาชีพหนึ่งไม่ได้ ก็คือการขายหมากของสาวๆที่ชอบนุ่งน้อยห่มน้อย แต่พอเวลาผ่านไป มันก็ชินตา และก็เหมือนเป็นสัญญาลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว บ้านเรือนที่อยู่ใกล้สวนปลูกหมาก พอถึงเวลาช่วงหมากออกผล ก็จะมีการพ่นยาฆ่าแมลง แล้วต้นหมากก็สูงมาก 2-3 เมตรได้ เวลาลมพัดที ก็จะเหม็นมาก กลิ่นของน้ำยาฆ่าแมลงบินไปทั่ว ทุกคนต้องหาที่หลบซ่อนกันจ้าละหวั่น 
ตอนที่ดิฉันแต่งงานกับสามีคนนี้ได้อาศัยอยู่กับพ่อตาแม่ยายเป็นครอบ
ครัวใหญ่ ปัญหาของแม่ผัวลูกสะใภ้มีให้เห็นกันได้บ่อยๆ ซึ่งทางคนจีนเห็นเรื่องการสืบเชื้อสายวงค์ตระกูลเป็นสำคัญ ซึ่งดิฉันมีลูกสาวอยู่ 2 คน ไม่มีลูกชายให้จึงทำให้ทางบ้านของสามีไม่ค่อยพอใจนัก และคนส่วนใหญ่ที่นี่จะดูถูกคนต่างชาติที่มาแต่งงานกับคนไต้หวัน เพราะเขามักจะคิดว่าเป็นเจ้าสาวที่ใช้เงินซื้อมา ในบางครั้งพ่อตาแม่ยายก็มักจะคิดว่าดิฉันหนี้เข้าประเทศไต้หวันมารึเปล่า จึงไม่มีสิทธิ์เท่าเทียมกับใครเขา แต่ดิฉันก็อดทนเพื่อลูกสาวมาโดยตลอด ประมาณ 2 ปีให้หลัง สามีก็พาดิฉันและลูกๆออกจากบ้านพ่อแม่ของเขามา แล้วซื้อบ้านของตัวเอง อยู่ในตัวเมืองผิงตง ดิฉันได้รู้ที่หลังว่า บ้านและที่ดินเป็นกรรมสิทธ์ของดิฉัน สามีซื้อให้ จึงต้องเสียภาษีให้กับทางรัฐบาล มีภาษีที่ดินและภาษีบ้าน ซึ่งได้จ่ายต่อปีแพงพอควร อีกทั้งลูกๆก็ยังเล็กอยู่ และได้เวลาเข้าโรงเรียนแล้ว จึงคิดจะหางานทำเป็นชั่วโมง เพราะจะต้องดูแลลูกๆ ทำงานบ้านและยังต้องดูแลสามียามที่กลับจากค่ายทหารทุกเสาร์ อาทิตย์ด้วย จึงสามารถทำงานได้เพียงเท่านี้ ดิฉันก็อยากหารายได้เพิ่มให้กับครอบครัวมากกว่านี้ จึงเปิดร้านอาหารไทย-ยูนหนาน ผสมกับรสชาติที่คนไต้หวันพอทานได้ ตอนแรกๆไม่ค่อยมีคนเข้าร้านเลย เพราะเห็นว่ามันแปลกๆ แต่พอได้ลองทานแล้ว ก็มีการแนะนำต่อๆกันไป จึงทำให้ร้านอาหารพออยู่ได้ 
อยู่มาวันหนี่งร้านดิฉันที่ได้โดนเรียกไปปรับเงิน เพราะไม่ได้ยื่นเรื่องการเปิดร้าน
อาหารที่ถูกต้อง ดิฉันได้เรียนรู้ถึงกฎหมายหลายๆอย่างของไต้หวัน อีกทั้งยังต้องยื่นภาษี และประกันสังคมของตัวเองด้วย ต้องแจ้งยื่นเรื่องภาษีเช่าร้านอีก 
พอโดนเข้าไปเต็มๆอย่างนี้ ก็เจ็บเหลือเกิน เสียไปเยอะ และในเมื่อมันเป็นกฎหมาย เราก็ต้องทำตาม หาได้หลบหนีแต่อย่างไร มันเป็นบทเรียนที่ต้องปฏิบัตตามกฏหมายของไต้หวัน ซึ่งบางอย่างก็แตกต่างกับกฎหมายไทยอย่างสิ้นเชิง 
ดิฉันเคยสงสัยในราคาป้ายที่ติดไว้กับราคาสินค้า เวลาเขียนว่า ลด 77
หรือ 85 ไม่ใช่ลด 77 หรือ 85 เปอร์เซ็นต์ แต่มันคือ ลดกลับกัน 100-77 เท่ากับ23 ซึ่งนั้นก็คือลด 23เปอร์เซ็นต์ ทางด้านความมีระเบียบวินัยที่น่าประทับใจในไต้หวันมากๆก็คือ รถขยะของไต้หวันจะมาเป็นเวลา พร้อมกันและมีเสียงดนตรี
ของ The Maiden's prayer เสียงกลองดนตรีที่ดิฉันชอบมาก ทุกบ้านเวลาได้ยินเสียงนี้จะต้องแบกขยะมาทิ้งเอง แยกขยะแห้งกับขยะน้ำ ขยะรีไซเคิล ออกจากกันเป็น 3 อย่าง ออกมาทิ้งกันเอง เป็นประเทศที่สะอาดมาก มีระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนประเทศไทย ที่รถขยะออกมาเก็บตามบ้านทุกเช้า และคนไทยก็ไม่แยกขยะเองด้วย ทิ้งรวมๆกันไว้ ให้รัฐบาลไปแยกเอาเอง จึงเสียนิสัยกันทั้งประเทศ แล้วรถเมล์ไต้หวันจะหากระเป๋ารถเมล์มาเก็บตังค์ก็ไม่มีนะคะ เราต้องหยดเหรียญเองเวลาขึ้น และเวลาลง ทุกคนก็ทำกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เวลาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มีระเบียบมากไม่มีรถเข็นทิ้งกันเรี่ยราด เพราะรถเข็นที่นี้ต้องหยดเหรียญเวลาใช้งาน และเวลาจะเอาเหรียญคืนก็ต้องเขนรถไปไว้ที่เดิมถึงจะเอาเหรียญกลับคืนมาได้ การจราจรที่นี้ก็น่าประทับใจ กับการรอเลี้ยวของรถมอเตอร์ไซค์ มันปลอดภัยมากกับคนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ก็คือมอเตอร์ไซค์ตรงไปเวลาจะเลี้ยวไปฝั่งตรงข้ามจะเลี้ยวไม่ได้ในทันที จะต้องมารอเลี้ยวอีกฝั่งหนึ่งที่มีช่องจราจรอยู่ด้านล่างไฟแดง ต้องรออยู่ตรงนั่นจนกว่าสัญญาณไฟจราจรเขียวขึ้น ถึงจะไปได้ เรื่องในโรงพยาบาล
พยาบาลก็ทำได้ดีสำหรับเด็กที่ไม่สามารถกินยาเม็ดได้ก็จะมีเครื่องบดเป็นผงๆแล้วก็เพ็กเป็นซองให้ผู้ปกครอง สมารถนำไปให้ลูกหลานทานได้อย่างสะดวกแล้วก็สะอาดด้วย 
ดิฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่ไต้หวันมาก เพราะลูกๆที่น่ารักของฉันและสามีอันเป็นที่รักอยู่ไต้หวัน และคนไต้หวันที่ดีต่อฉัน แต่ดิฉันก็ไม่เคยลืมที่จะสอนภาษาไทยกับลูกๆของดิฉัน การได้ภาษาเยอะๆ มีแต่ผลดีต่ออนาคตของเขาเอง เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่ได้ทุกประเทศที่เขาอยากอยู่ เหมือนดิฉันที่เลือกจะอยู่ไต้หวันพร้อมด้วยครอบครัวของฉัน ที่นี่คือบ้านอีกหลังหนึ่งที่ทำให้ดิฉันมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุขและสบาย อนาคตของดิฉันอยากมีบ้านสวนเล็กๆที่พึ่งพาตัวเองได้เป็นบ้านวิถีอินทรีย์ที่ปลอดสารเคมีทุกอย่างแล้วอยากให้ทุกคนๆมีของกินของใช้ที่ปลอดสารเคมีมีสุขอย่างสมดุลด้วยต้นทุนชีวิตม อนาคตของดิฉันยังคงเป็นที่นี่ตลอดไป 


"
評審評語:
來臺求學期間的刻苦經歷,後來成為臺灣新移民和還存有保守觀念的公公婆婆相處過程,到如何自力更生,以潔簡、易懂的文字表達出來,使讀者對新移民處境,更進一步了解。