ทะเลก็มีชีวต ทะเลก็มีหัวใจ

2014-05-29 /  สโรชา ลู(呂欣清) / ทะเลก็มีชีวต ทะเลก็มีหัวใจ / ไทย 泰國 / 花蓮豐田五味屋


"บ้านเกิดของดิฉันอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย จังหวัดชัยภูมิ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตอนที่ดิฉันยังเรียนอยู่ที่เมืองไทย พี่ชายทั้ง 3คน ของดิฉันก็ได้ย้ายไปทำงานที่ไต้หวัน และได้ส่งเงินกลับมาเพื่อช่วยเหลือครอบครัว และการศึกษาของดิฉันที่เมืองไทย  ในตอนนั้นดิฉันคิดอยู่เสมอว่าดิฉันจะต้องทำงานหาเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัวของดิฉันให้ได้อย่างพี่ๆ 

หลังจากจบการศึกษาระดับ ปวส. ในปีเดียวกันนั้น ดิฉันตัดสินใจที่จะเดินทางมาไต้หวัน ตอนนั้นดิฉันอายุ 22 ปี การเดินทางมาไต้หวันไม่ได้เป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าง่ายซะทีเดียว เรื่องของค่าใช้จ่ายและการดำเนินการเรื่องเอกสารต่างๆ ที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทนายหน้าจัดหางาน ต้องใช้เงินจำนวนถึง 200,000 บาท ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับดิฉันและครอบครัว เราไม่มีเงินมากขนาดนั้น พ่อ แม่และดิฉันจึงตัดสินใจเอาที่นาที่มีอยู่ไปจำนองกับธนาคาร เพื่อจะได้มีเงินไปจ่ายให้บริษัทนายหน้าจัดหางาน และในที่สุดดิฉันก็ได้เดินทางมาทำงานที่ไต้หวัน 

ในปีแรกที่มาถึงไต้หวัน ดิฉันได้ทำงานโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ที่ เถาหยวน Taoyuan ตอนนั้นดิฉันยังไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาจีนได้เลย แต่ทางโรงงานก็มีล่ามที่ช่วยแปลและอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ดิฉันเข้าใจ และหลังเลิกงานทุกเย็นดิฉันก็จะนั่งอ่านหนังสือที่เป็นรูปภาพและคำภาษาจีน นั่งท่องจำไปทุกวัน ในช่วงปีแรกดิฉันตั้งใจทำงานอย่างหนัก และใช้จ่ายอย่างประหยัดมาก เพราะดิฉันอยากเก็บเงินเพื่อจะเอาไปใช้หนี้กับธนาคารที่ไปกู้มา ตอนนั้นดิฉันได้เงินเดือนประมาณ18,500 ต่อเดือน และยังบวกกับค่าทำล่วงเวลา ดิฉันเอาเงินเก็บจากค่าแรงทั้งหมดที่ได้มา ส่งกลับไปให้ทางบ้าน และสามารถใช้หนี้ที่กู้ยืมธนาคารมาได้หมดภายในปีแรกที่มาทำงาน
ตอนที่ทำงานอยู่ที่โรงงานนั้น ดิฉันก็ได้พบกับสามี ซึ่งตอนนั้นดิฉันยังไม่มีความมั่นใจที่คบหากับเขาเป็นแฟน เพราะกลัวว่าจะโดนหลอกหรือเค้าอาจจะมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ดิฉันจึงบอกเขาว่าถ้าอยากให้เชื่อใจก็ต้องพาไปที่บ้านของเขา พอเป็นช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์เราสองคนก็จะแอบออกมาจากโรงงาน เพราะโรงงานมีกฎว่าหลังสี่ทุ่มห้ามคนงานออกไปข้างนอก พอหลังเลิกงานวันศุกร์เราก็จะพากันออก เพื่อไปที่บ้านสามีที่ ฮัวเหลียน (Hualien ) และเดินทางกลับมาที่โรงงานให้ทันทำงานในวันจันทร์ เราทำอย่างนี้อยู่หลายครั้งจนดิฉันมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้มาหลอก และไม่มีลูกเมียซ่อนอยู่จริงๆ ดิฉันจึงตัดสินใจคบกับเขา ตอนนั้นก็ยังสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ได้เพื่อนๆคนไทยที่มาทำงานก่อนเรา และพูดจีนได้ช่วยเป็นล่ามให้ หลังจากคบหากันได้สามปี ดิฉันก็หมดสัญญากับทางโรงงานจึงต้องกลับเมืองไทย สามีจึงขอแต่งงานและได้ไปจดทะเบียนสมรสกันที่เมืองไทย และสามีก็กลับมาที่ไต้หวันเพื่อดำเนินการเรื่องเอกสาร เพื่อจะได้รับดิฉันกลับมาอยู่ด้วยกันที่ไต้หวัน  

พอได้กลับมาที่ไต้หวันเราสองคนก็ยังคงทำงานที่ เถาหยวน (Taoyuan) และมีลูกชายหนึ่งคน แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งได้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ไต้หวัน โรงงานที่สามีทำอยู่ต้องปิดลง สามีต้องไปทำงานที่โรงงานอื่น ซึ่งได้เงินน้อยกว่าเกือบครึ่งนึงของที่เก่า ทำให้เกิดความกดดันที่ได้เงินน้อยลง แต่ครอบครัวเรามีรายจ่ายเพิ่มขึ้นเพราะมีลูก 

เราจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่ ฮัวเหลียน (Hualien) บ้านเกิดของสามี แม่สามีบอกสามีให้ลองเลี้ยงไก่ดู เลี้ยงไปได้แค่ปีเดียว ก็เลิกเพราะไม่มีกำไร สามีก็เลยต้องหางานใหม่และได้งานเป็นคนงานของบริษัทรับเหมา จึงต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าบริษัทจะรับเหมางานได้ที่ไหน ทำให้สามีจะกลับมาหาเราแล้วลูกได้ไม่บ่อยนัก และเมื่อสองเดือนก่อนดิฉันต้องกลับเมืองไทย เนื่องจากพี่ชายเสียชีวิต ช่วงนั้นได้มีโอกาสเรียนรู้วิธีการทำไข่นกกระทาทอด (QQ ball) พอกลับมาไต้หวันเลยตัดสินใจเช่าที่เล็กๆ หน้าร้านขายผลไม้ หลังมหาวิทยาลัยดงหัว (Donghua University) ขายไข่นกกระทาทอด เพื่อหารายได้เข้าบ้าน และถือได้ว่าเป็นกิจการของเราเอง ถ้าทำงานรับจ้างที่นี่ หายากที่จะได้งานที่แน่นอน พอถึงช่วงปิดเทอมเขาก็ไม่จ้างเรา เปิดร้านของเราเองแบบนี้ ถ้าสามีกลับมาบ้านเราก็สามารถปิดร้าน และใช้เวลาอยู่เป็นครอบครัวกับลูกและสามีได้  

ตอนนี้ดิฉันมีลูก 2 คน ลูกชายอายุ 10 ขวบ ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ดิฉันก็หวังว่าลูกๆจะได้มีการศึกษาที่ดี ตอนนี้ลูกชายเริ่มเรียนชั้นสูงขึ้น ดิฉันจึงช่วยเรื่องการบ้านไม่ได้แล้ว เพราะเป็นภาษาจีนที่ยากเกินกว่าเราจะเข้าใจ ตอนนี้จึงมีแค่อาม่า (แม่สามี) ที่ช่วยดูแลเรื่องการบ้านให้เท่านั้น ดิฉันก็พยายามบอกลูกอยู่ทุกวันว่าให้ตั้งใจเรียนเพราะเป็นสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่จะให้ได้ และการมีการศึกษานี่แหละจะช่วยให้ลูกมีอนาคต แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวของลูกเองว่าจะตั้งใจเรียนได้สูงแค่ไหน


เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาในไต้หวันสำหรับดิฉัน ชีวิตก็เหมือนยืนอยู่ในทะเล เวลาทะเลสงบไม่มีคลื่นเราก็ยืนได้อย่างเย็นสบาย เพลิดเพลินไปกับวิวทะเล แต่หลายๆครั้งก็มักจะมี คลื่นใหญ่บ้าง เล็กบ้างซัดเข้ามากระแทกเรา ทำให้เราเซ หรือบางทีก็ถึงกับล้มลง ต้องกินน้ำทะเลไปหลายอึก แต่เราก็ต้องพยายามลุกขึ้นมายืนให้ได้ใหม่อย่างรวดเร็ว และมั่นคงกว่าเดิม เพื่ออนาคตของตัวเราเองและครอบครัว"

評審評語:
作者將她來臺工作,如何遇上另一半,並求證其屬否真心,到結婚回到花蓮發展的心路歷程,以流暢文筆表達,讓讀者有身歷其境的感覺,尤其結尾以花蓮海岸波浪比喻人生處境,有時平順、有時艱困,但絕不能就此倒下被海浪沖走,更讓人讚賞作者巧妙的比喻。