ชีวิตกับกีฬา
ชีวิตที่มีกีฬาเป็นแสงส่องทาง มันทำให้การใช้ชีวิต การทำงานในประเทศใต้หวัน การปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ง่ายและรวดเร็ว ผมขอนำประสบการณ์ที่เดินทางมาทำประเทศใต้หวันตลอดระยะเวลา 15 ปี เผื่อที่จะถ่ายทอดเรื่องราวผู้ชายคนหนึ่ง ให้แรงงานที่เดินทางเข้ามาที่ประเทศใต้หวัน ได้รับรู้เพื่อเป็นแนวทางไปวิเคราะห์และจะนำไปปฏิบัติเพื่อการทำงานที่อย่างมีความสุข เพื่อให้ง่ายต่อการเรียบเรียง ผมจึงขอแยกเนื้อเรื่องออกเป็นหัวข้อตามช่วงสถานะการณ์ มีดังต่อไปนี้
การงานกับกีฬา การศึกษากับกีฬา ความรักกับกีฬา การแสดงกับกีฬา ภาษากับกีฬา
การงานกับกีฬา
ปี2541 ที่ผมเดินทางมาครั้งแรก ชีวิตการทำงานดูจะเข้มค่นมาก ต่างจากเมืองไทย ระยะเวลาทำงานมากขึ้น อยู่ในห้องพักที่มีคนเยอะๆต่างจิตต่างใจ โรคความคิดถึงบ้านก็มีมาในหัวสมองทุกวัน การทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์เป็นอะไรที่ทนทุกข์ทรมารมากเหลือเกิน ต้องดูปฎิทินทุกวันเพื่อที่จะกากบาททิ้งเพื่อนับเวลากลับบ้าน แต่สวรรค์จะมาโปรดทุกครั้งเมื่อถึงวันอาทิตย์ ในห้องพักจะเงียบกริบเพราะไม่มีใครอยู่ห้องเลย แต่สำหรับผมจะถือลูกฟุตบอลและเตรียมรองเท้าสตั๊ดปั่นจักรยานมุ่งไปสู่สนามมหาวิทยาลัย นั่นคือการได้วิ่งออกกำลังกายและเตะบอล ถึงแม้คนใต้หวันจะไม่ค่อยชอบกีฬาชนิดนี้แต่ทุกมหาลัยยังมีสนามฟุตบอล ถือเป็นความโชคดีของแรงงานไทยและแรงงานอื่นๆและผมก็ได้รู้จักเพื่อนต่างโรงงานละแวกไกล้เคียง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานและได้ตั้งทีมฟุตบอลของกลุ่มขึ้นมาเนื่องจากรับทราบข่าวว่าในเขตอื่นก็มีทีมอื่นๆเหมือนกัน ชีวิตตลอดในช่วง3ปีแรก วันธรรมดาก็จะทำงานส่วนวันหยุดก็เล่นกีฬาหรือไปแข่งกับทีมแรงงานไทยในเขตต่างๆถ้าชนะก็จะไปเลี้ยงฉลองกัน(แต่ผมขอบอกก่อนนะครับผมไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่นะครับ)ทำให้ดูเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน หลังจากใต้หวันแก้กฎหมายให้เข้ามาทำงานได้เป็น 6 ปี ผมก็ได้เดินทางกลับมาใต้หวันอีกครั้ง
การศึกษากับกีฬา
ครั้งนี้ไม่ได้กลับมาโรงงานเดิมครับ เนื่องจากผมต้องการจะทำกิจกรรมกีฬาให้เต็มที่กว่าที่เป็นอยู่เนื่องจากโรงงานเดิมนั้นมีกฎระเบียบเข้าหอทำให้มีบางครั้งเข้าหอเกินเวลาที่กำหนด และผมก็หางานใหม่โดยพี่ๆนักกีฬาแนะนำไปอยู่ด้วย พี่เขากลัวผมไม่ไปก็เอาสลิปเงินเดือนมาให้ดูการันตีแน่นอนผมเห็นแล้วถึงกับตาโต (โหได้เยอะกว่าโรงงานผมสองเท่า ผมอุทาน)ผมก็ตั้งใจว่าแทคนี้วันธรรมดาทำงานทำโอส่วนวันหยุดเล่นกีฬาและจัดกิจกรรมกีฬาให้กับพี่น้องแรงงานไทย ถือเป็นความฝันและความสุขแต่แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง บังเอิญช่วงที่ผมมาโรงงานเปิดแผนกใหม่ ช่วงที่นั่งรอให้หัวหน้ามารับ ฝ่ายบุคคลเดินมาถามว่าระหว่างผมกับอีกน้องคนหนึ่งว่าใครพูดภาษาจีนได้บ้างผมก็บอกว่าผมพูดได้(ในใจก็คิดเอาแล้วเราเจองานสบายแน่)ที่ใหนได้แผนกมีแต่คนใต้หวันก็ลองคิดดูว่าเขาจะใช้ใคร แถมไม่มีโอซักวันเปลี่ยนกะก็ไม่ให้เปลี่ยนตกเดือนหนึ่งหักแล้วรับ14,000-16,000 ผมก็พูดอะไรไม่ออก ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำให้ครบ 3 ปีอย่างน้อยๆหอพักก็ไม่มีกฎ เผื่อที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อไม่ให้กระทบเดือนของเรา จากที่เคยเป็นนักกีฬาก็ผันตัวเองมาเป็นกรรมการตัดสิน ที่แรกๆก็ไม่ชอบเท่าใหร่แต่ค่าตอบแทนมันได้แน่นอน หลังจากที่เป็นกรรมการมาสักระยะมีความรู้สึกแปลกๆรู้สึกมีความสุขกับการเห็นแรงงานไทยมาเล่นกีฬา เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เห็นญาตินัดมาเจอกันที่สนามกีฬา และผมก็ได้รู้จักน้องคนหนึ่งที่สนามกีฬาเขามาดูพ่อเขาแข่งกีฬา น้องเขาก็บอกว่าเพิ่งจบม.6 มาจากเมืองไทย และก็กำลังเรียนอยู่ถ้าบ้านเราก็คงเป็น กศน.ผมก็เลยบอกน้องเขาว่าผมก็อยากเรียน เพราะเรียนวันจันทร์,พุธและศุกร์ ผมก็เลยให้น้องเขาไปถามอาจารย์ดูว่า อย่างผมมาในแทคนี้สามารถเรียนได้ใหม ไม่นานน้องเขาโทรมาบอกว่าเรียนได้ ผมก็เลยรีบไปสมัคร มีความตั้งใจไว้ว่า ไม่ได้เงินก็ขอเอาความรู้ไว้ก่อน ครูก็ดีกับผมเหลือเกินค่าเล่าเรียนก็ถูกแสนถูกให้ซื้อแต่หนังสือเทอมหนึ่งก็ตกแค่ร้อยกว่าบาท ในที่สุดผมก็ได้เรียนหนังสือ ซึ่งผมถือว่ามีค่ายิ่ง ทำให้มีความรู้ในภาษาจีนกลางมากขึ้น การออกเสียงอักขระได้ดีมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนร่วมงานก็ชมว่าพูดภาษาได้ดีและพูดได้เยอะสั่งงานอะไรก็ไม่ผิดพลาด(คือยิ่งใช้มากกว่าเดิม)แต่ผมไม่ซีเรียสนะ เพราะผมเปลี่ยนเป้าหมายแล้วคือในเวลา 3 ปีต่อจากนี้ ผมจะเรียนให้รู้มากที่สุด ส่วนวันหยุดก็ไปเล่นกีฬาจักกีฬา ซึ่งครั้งนี้ผมได้ทำอะไรหลายอย่างมาก รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหน่วยราชการไทยและใต้หวันเพราะกีฬาที่ผมทำและจัดการแข่งขัน โลกผมกว้างขึ้นแรงงานก็รู้จักผมมากขึ้น จากการจักกีฬารายการเล็กๆก็มีรายการใหญ่เข้ามา ทำให้ผมมองโลกในแง่ดีมากขึ้น มีโอกาสได้ไปสอนฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่ผมไปซ้อมทุกสัปดาห์ นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ถือว่าคุ้มค่าจริงๆสำหรับแรงงานอย่างผม
ความรักกับกีฬา
เป็นธรรมดาครับวัยของผมก็เป็นวัยทำงานและก็มีความรักเป็นเรื่องปกติ แต่แฟนเขามาอยู่กับแม่ที่ใต้หวัน เหตุผลที่สำคัญที่มาใต้หวันก็เพราะมาตามแฟนครับ แต่เขาเลิกผมไปตั้งแต่แทคแรก แต่ผมก็รอเขาอยู่และพยายามเสาะหาว่าเขาอยู่ที่ใหนในขอบเขตที่จำกัดสำหรับแรงงาน ผมก็บอกกับตัวเองว่าถ้าแทคนี้ไม่เจอแฟนก็จะไม่มาอีกแล้วรู้สึกท้อ คิดว่าคงไม่มีวาสนาต่อกัน สองอาทิตย์ก่อนจะครบแทคผมก็ไปช่วยพี่เป็นกรรมการตัดสินฟุตบอลที่เขตไทเป หลังจากเสร็จพี่เขาก็พาทีมงานผมไปเลี้ยงที่ร้านอาหารไทย พอเข้าไปในร้านไทยปั้บ ผมต้องรีบหันหลังแล้วรีบวิ่งออกมาจากร้าน พูดกับตัวเองถามเพื่อนว่าผมไม่ได้ฝันไป เพราะว่าผมเจอแม่ของอดีตแฟนครับ ผมตั้งสติรวบรวมความกล้า แล้วเดินเข้าไปก้มลงกราบ แม่ก็น้อมรับอย่างงงว่าเกิดอะไรขึ้น ผมดีใจสุดๆเหมือนถูกล็อตเตอรี่ ผมก็บอกแม่เขาว่าผมอยากเจอลูกสาวเขาอีกครั้งก่อนจะกลับบ้าน แม่เขาก็รับปากว่าจะบอกให้ ผมก็ฝากเบอร์โทรไว้ คือแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วแต่ก็กลัวว่าแม่เขาจะบอกลูกเขาหรือเปล่า แต่อย่างน้อยๆผมก็มีความหวัง และแล้วความฝันผมก็เป็นจริง ก่อนกลับหนึ่งอาทิตย์ผมก็ได้รับโทรศัทพ์ที่ผมรอคอยมาร่วม10 ปี น้ำเสียงคำพูดที่ได้ยินมันเหือดแห้งมาหลายปี ตอนนี้มันกับทำให้หัวใจผมมีพละกำลังที่จะยืนอยู่ต่อสู้กับปัญหาต่าง วันนี้ที่รอคอย วันที่เธอมาหามันประหม่าไปหมด ทำตัวไม่ถูก เหมือนกับเรานัดแฟนมาเดทครั้งแรก ผมไม่มีใครแน่แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมีใครหรือเปล่า ก็ไปทานข้าวพูดคุยทำความคุ้นเคยแต่ว่าเวลาผมก็มีแค่หนึ่งอาทิตย์ ในเมื่อเขาบอกว่าไม่มีใคร ผมก็จะขอกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ความรักที่มีต่อเขาว่าผมรอเขามานานเท่าใหร่ เมื่อผมเดินเรื่องกลับมาใหม่เราก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โดยแม่เขาก็เปิดไฟเขียว โดยไปหาเช่าบ้านไกล้กับที่ทำงานผม เรื่องงานก็เหมือนเดิมครับโอทีก็มีบ้างไม่มีบ้าง ผมคิดว่าคงไม่มีวาสนาแล้วครับ คงไม่รวยแน่ แต่งานกีฬาผมก็ทำอย่างต่อเนื่องครับ โชคดีหน่อยได้รถแฟนช่วยขนย้ายเดินทางไปจัดกิจกรรมได้ไกลขึ้น ผมก็ทำงานจนครบแทกและได้ตัดสินใจกลับไปทำเรื่องแต่งงานกลับมาเพื่อที่จะอยู่ใต้หวัน
การแสดงกับกีฬา
ยังคงจำได้นะครับว่ามีช่วงที่ผมไปสอนฟุตบอลมหาลัยของใต้หวัน ในเขตเถาหยวนเน่ยลี่ มีนักกีฬาคนหนึ่งจบแล้วและได้ไปเป็นผู้กำกับหนัง เขาทำละครป้อนให้กับช่องทีวี ละครเรื่องแรกที่จะทำก็คือละครเกี่ยวกับแรงงงานผิดกฎหมาย เขาก็พยายามตามหาผมหาไปเล่นบทคนงานที่หลบหนีนายจ้าง ผมก็ไม่ลังเลใจที่จะรับปาก เพราะอยู่ใต้หวันผมก็ทำอะไรมาตั้งเยอะ ลองเป็นนักแสดงซิมันจะเป็นยังไง แม้จะยังอยู่ในแทก ผมก็ไปขอลางานกับนายจ้าง เขาก็อนุญาติผมก็ดีใจมาก ในบทบาทที่ผมได้รับ ทุกคนก็ชมว่าผมเล่นได้สมจริง ซึ่งละครเรื่องนี้ได้รางวัลบทละครยอดเยี่ยม ซึ่งก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ใต้หวัน ที่น้อยคนนักที่จะเจอะเจอ ผมก็คิดว่าอยู่เมืองไทยคงไม่มีโอกาสอย่างนี้
ภาษากับกีฬา
จากการที่ผมใช้ชีวิตในฐานะแรงงานได้รู้จักผู้คนมากมาย หลังจากทำเรื่องแต่งงานมาอยู่ใต้หวันหลังจากได้บัตรกาม่า(居留證)ก็มีงานล่ามคุมหอพักเข้ามา ผมก็ลองไปทดสอบระดับภาษาโดยการสัมภาษณ์นั่นเอง ผลออกมาคือผ่าน ผมก็ดีใจแต่ก็ประหม่าเล็กน้อยกลัวแปลคำยากๆไม่ได้ ทางบริษัทก็บอกว่าไม่ต้องห่วงมีอะไรให้โทรหา ผมค่อยเบาใจหน่อย แรกๆผมก็รู้สึกยากแต่ก็มีล่ามคนอื่นช่วยแนะนำ ผมเลยผ่านมาได้ ส่วนการคุมคนงานผมก็ใช้งานถนัดผมคือเอากีฬามาช่วย ผมคิดว่าไม่ว่าแรงงานชาติใหนก็ชอบกีฬา ยิ่งผมดูแลแรงงานไทยและเวียดนาม เสือกับสิงห์มาอยู่ด้วยกันละก็ผมก็กลัวเหมือนกัน แต่ผลสรุปคือได้ผลดีเกินคาดทั้งสองชาติอยู่อย่างมิตรภาพ เลิกงานก็ไปเล่นกีฬาด้วยกัน ทำให้ผมไม่ต้องปกครองยาก ภาษาก็ใช้กีฬาเป็นสื่อ ดูแล้วก็มีความสุขกับงานครับ ทุกคนก็ให้ความร่วมมือ ฝ่ายบุคคลก็ชมผมว่าตั้งแต่ผมมาอยู่ คนงานไม่มีปัญหาเหมือนก่อน คนงานก็รักผมทั้งสองประเทศ ทางบริษัทก็มาสอบถามคนงานว่า ผมดูแลงานดีใหม เมื่อได้ยินว่าคนงานตอบว่าดูแลดีมากผมก็อดยิ้มไม่ได้ ภูมิใจเพราะผมทำงานหนักมาก กว่าจะไปนั่งอยู่ในหัวใจคนงานตั้งสามร้อยกว่าคน และมันเป็นกำลังใจให้ผมเดินไปและจะแก้ปัญหาให้แรงงานอย่างถูกวิธี และประสบความสำเร็จให้มากที่สุด
สรุป
ผมไม่เล่าชีวิตที่ยากลำบากเท่าใดนัก เพราะไม่ว่าผมจะมีมรสุมชีวิตอย่างไร ผมไม่เคยเลยที่จะไม่ไปเล่นกีฬาออกกำลังกาย เพราะผมเชื่อเสมอว่ากีฬาเป็นยาวิเศษไม่เคยให้โทษ และกำลังใจก็จะตามมาเอง และระหว่างนั้นผมก็จะเสาะแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าวันนี้จะได้ทำงานที่สบายขึ้นตามกับวัยที่สูงขึ้น แต่ก็ยังใช้วันหยุดไปจัดกีฬาให้แรงงานเหมือนเดิม เพราะถือว่าเป็นความสุขอีกแบบหนึ่งที่ผมคิดว่าใช่ เพราะแฟนก็เข้าใจ เพราะผมเกิดมาจากตรงนี้ คงไม่สามารถแยกจากมัน(กีฬา)ได้
ผู้ส่งผลงาน
พเนตร ผ่องใส 0970-556214