【รางวัลดีเด่น】
2015/5/25 / อนันต์ ศรีลาวุธ / ขุมทองแห่งมิตรภาพและเสียงเพลง / ไทย 泰國 / RTI. THAI RADIO
ขุมทองแห่งมิตรภาพและเสียงเพลง
ปี 2011 ช่วงประมาณเดือน 6-7 Anan Srilawut MR. ได้มาทำงานทีประเทศที่ไม่เคย รู้จักมาก่อน ผมได้ทำงานกับผู้รับเหมาวางรางรถไฟความเร็วสูง สาย เถาหยวน-ซันเจี่ยว-หลิงโข่-ฉางเกิน-ไทเป ช่วงเวลานั้นอากาศร้อนมากประกอบกับทำงานบนที่สูงความร้อนจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ช่วงที่มีเวลาว่างบ้าง คนงานต้องผ่อนเบาความร้อนระอุด้วยการเดินไปมาเพราะหากยืนนิ่งๆรองเท้าจะร้อนขึ้นมา เร็วมาก ผมเริ่มงานที่นี่เป็นแห่งแรกและครั้งแรกในประเทศนี้ เพื่อนหลายคนที่มาพร้อมกันก็มาครั้งแรกเช่นกันจึงหมายพึ่งพาด้านภาษากันไม่ได้ ชีวิตเราช่วงนี้อยู่ไปด้วยการเดาเป็นส่วนมาก ผมพบว่าอากาศที่นี่ร้อนมากกว่าที่บ้านของผมมาก งานก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบมาก่อน และโดยเฉพาะภาษาที่ไม่คุ้นเคย อันที่จริงผมไม่เคยได้ยินภาษานี้มาก่อนด้วยซ้ำมันจึงเป็นปัญหามากสำหรับผม แล้วไอ้ความคิดถึงบ้าน คิดถึงพี่น้อง คิดถึงเพื่อนบ้านและมิครสหายที่ปราถนาดีก็เกาะรุมเร้าใจผมตลอด ที่หนักหนาคือคิดถึงลูกหญิงชายวัยเยาว์ของผมทั้งสองคนที่อยู่กับแม่ของพวกเขาและคุณย่าแก่ๆที่เมืองไทย ทุกคนต่างเฝ้ารอฟังข่าวของผมอย่างเป็นห่วงทุกเวลาตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากบ้าน โดยเป้าหมายคือ ไต้หวัน.
ผมเองตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองก็คล้ายกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วย้ายไปปลูกในที่ห่างไกลโดยทิ้งรากของต้นไม้เอาไว้เบื้องหลัง มันยากที่จะประสานให้คุ้นชินกับที่อยู่แห่งใหม่ แต่ยังดีที่ตอนนั้นได้มีเพื่อนชาวไต้หวันได้เข้ามาพูดคุยแสดงน้ำใจอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะอาตงและพั่งพั่ง (เขาสั่งให้ผมเรียกเขาแบบนี่) ทั้งสองคนเป็นผู้นำทีมงานที่ผมทำงานด้วย พั่งๆ ชอบร้องเพลงเป็นพิเศษ ผมเองก็เป็นคนชอบเล่นดนตรีเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมีนิสัยที่เข้ากันได้ดีและสนิทกันเร็วมาก เรื่องงานพั่งพั่งก็สอนผมด้วยความสนุกสนานเขามักสร้างบรรยากาศได้ด้วยเสียงเพลงของเขา เนื่องจากเขาร้องผิดคีย์, ผิดจังหวะซ้ำยังผิดทำนองตลอดจึงกลายเป็นสิ่งตลกขบขันในทีมได้เสมอ แต่เพลงที่แทบจะหาคนฟังไม่ได้เช่นนี้กลับมีความหมายกับผมอย่างที่สุด สิ่งแรกคือ ทำให้ผมผ่อนคลาย และสอง คือทำให้ผมได้เรียนรู้ความหมายของคำจากเนื้อเพลงที่พั่งพั่งร้อง คำไหนที่ผมสนใจมากพิเศษผมจะถามเขา และเพลงไหนที่ผมพอจะรู้จักทำนองอยู่บ้างผมก็จำได้เร็ว สิ่งเหล่านี้มันช่วยให้ผมไม่หมกมุ่นเรื่องคิดถึงบ้านมากนัก ส่วนเรื่องงานของผมนั้นก็พัฒนาได้รวดเร็วอย่างน่ายินดี เรื่องภาษาและงานแทบจะไม่เป็นปัญหากับผมเนื่องจากมีครูประจำตัวที่ดีช่วยสอนคำศัพท์ที่ใช้บ่อยๆในงานให้ผมทุกวัน เวลาผ่านไปเร็วหรือว่าช้าผมไม่ได้ใส่ใจนัก ผมมุ่งแต่จะปรับตัวเรียนรู้สิ่งจำเป็นต่างๆ ให้ไวที่สุด.
จนเข้าสู่หน้าหนาวซึ่งผมรู้สึกว่าความหนาวมันจะคอยแกล้งผมให้ยอมแพ้มันให้ได้ ในบางวันที่มีฝนตกและลมที่พัดแรงมากจึงเป็นการเพิ่มความหนาวเย็นจนถึงสันหลังส่วนในของผม แต่ว่าถึงวันนี้แล้วเพื่อนที่รักได้สอนผมไว้เป็นอย่างดีแล้วสำหรับการรับมือกับสถานการณ์และงานต่างๆที่เคยฝึกทำมา ผมยังรับงานจากหัวหน้าด้วยทางโทรศัพท์ได้โดยไม่ผิดพลาดด้วย ผมได้รับมอบหมายงานที่สำคัญๆ บ่อยๆ หัวหน้าให้ผมเป็นผู้นำทีมทำงานล่วงเวลาด้วยซ้ำ จึงทำให้รายได้ของผมดีขึ้น ผมได้สมัครเรียนระดับ ม.ปลายในระบบทางไกลที่ศูนย์การศึกษาทางไกลที่จงลี่ในเวลาต่อมา และจัดเวลาไปสอบในวันที่งานหยุด คือวันอาทิตย์.
ขณะเดียวกันคุณแม่และลูกเมียของผมที่เมืองไทย ก็ได้มีเงินซื้ออาหารที่ดีมีประโยชน์กินได้บ้างแล้ว เด็กๆมีเงินได้ซื้อหาอุปกรณ์การเรียนที่ต้องการได้อย่างน่ายินดี ซึ่งเมื่อก่อนสิ่งเหล่านี้ได้แต่เพียงฝัน ความเป็นอยู่ทางบ้านดีขึ้นและสถานการณ์ของผมก็ดีขึ้นมาก งานและภาษาเป็นเหมือนของหวานสำหรับผมไปในช่วงไม่ถึงปี ทุกสิ่งช่างดีต่อผมอย่างลงตัวจริงๆเหมือนกับว่าเป็นลิขิตจากฟ้าก็ไม่ปาน ทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตชาวยิวโบราณที่พูดว่า “เหล็กลับกับเหล็กให้คมได้ฉันใด เพื่อนก็ลับเพื่อนให้คมได้ฉันนั้น” ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผมที่ไต้หวันกำลังดีขึ้น คงไม่ใช่เรื่องที่เกินไปถ้าผมจะพูดว่า “ผมได้มาถึงขุมทองเข้าให้แล้วตอนนี้” สิ่งต่างๆที่ส่งผลต่อชีวิตขอผมในทางบวกทุกอย่างผมถือว่าเป็นเหมือน “ขุมทอง”.
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวที่ทำให้ผมแทบหัวใจหยุดเต้น เมื่อทางเมืองไทยแจ้งข่าวทางโทรศัพท์มาว่า “คุณแม่เสียชีวิตแล้วจากโรคมะเร็ง” แต่ช่วงที่ป่วยหนักอยู่นั้นคุณแม่ได้วิงวอนทุกคนไว้อย่างหนักแน่นว่า“อย่าเพิ่งแจ้งข่าวการป่วยของแม่ให้อนันต์ที่อยู่แดนไกลรู้ข่าวจนกว่า แม่จะหมดลมหายใจค่อยแจ้งข่าวไป” ผมเข้าใจความคิดของแม่เป็นอย่างดี เพราะแต่เล็กจนโตผมได้อยู่ใกล้แม่ตลอดมา จึงรู้ความคิดของแม่ว่าท่านไม่ต้องการให้ผมต้องยุ่งยากและสะดุดใจ ในการทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวและใช้หนี้ก้อนโตซึ่งมันเป็นเหมือนด่านที่จะต้องฝ่าไปให้พบกับความสำเร็จ ปัญหานี้คุณแม่ทราบดีและข้องขัดใจกับมันมาตลอด.
วันที่ได้รับข่าวร้ายนั้นผมยังทำงานอยู่บนสะพานทางด่วน หลังจากรู้ข่าวนั้นผมก็ร้องให้ออกมาอย่างไม่อายใคร น้ำตาของผมไหลอาบหน้าตลอดเวลาจนเปียกชุ่มลงมาถึงหน้าอก พั่งพั่งรู้สถานการณ์อย่างดี เขารีบเข้ามาหาอย่างห่วงใยพร้อมกับยื่นมือถือของเขาให้กับผมพร้อมพูดว่า “โทรไปที่บ้านถามข่าวให้รู้เรื่องคุยไปจนพอใจ ฉันอนุญาต” พั่งๆ แนะนำผมว่าควรกลับซึ่งผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องไปเพื่อพบหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน ผมบอกกับพั่งๆว่า คราวหน้าผมจะกลับมาทำงานโรงงาน แต่ยังไม่รู้ว่าจะมีงานที่ไหน สุดแท้แต่บริษัทจัดส่งจะจัดไว้ให้ ขอให้ผมจัดการภาระทางบ้านเรียบร้อยก่อน ช่วงที่รอตั๋วเครื่องบินอยู่ที่แค้มป์คนงานนั้นผมได้ใคร่ครวญถึงชีวิตก่อนที่จะมาถึงวันนี้ที่ต้องเสียแม่ไปโดยไม่ได้กล่าวแม้คำอำลาสุดท้ายกับท่านด้วยซ้ำว่า เป็นบทบาดชีวิตผมดำเนินถึงตรงนี้ได้อย่างไร?.
ผมเกิดในครอบครัวชาวนาที่ภาคอีสานของประเทศไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด เราทำนาได้เพียงปีละครั้งโดยอาศัยน้ำฝนเพียงทางเดียวเท่านั้น สภาพโดยทั่วไปของชุมชนจึงค่อนข้างขัดสน แต่คุณพ่อของเรามีอาชีพเสริมเป็นช่างไม้และเป็นนักดนตรีพื้นบ้านที่เก่งมาก ดังนั้นความจำเป็นพื้นฐานของเราจึงไม่ขัดสนนัก คุณพ่อใจดีและเอ็นดูผมมาก ท่านสอนดนตรีพื้นบ้านให้ผมบ่อยๆ มีเพลงทีใช้ประกอบการสอนที่น่าจดจำอย่างยิ่งเพราะเป็นเรื่องราวชีวิตจริงๆ ของคนในภูมิภาคนี้ เพลงพ่อสอนว่า “ถึงแม้นบ้านเราจนแต่ก็กินได้และนอนหลับ ทางเหนือ พม่าถือปืนแม้ยามเกี่ยวข้าว ทางไต้เขมรและแกวก็เดินข้ามศพคนเพื่อออกไปดำนา” มันใช่แบบนั้นจริงๆ มิตรประเทศรอบข้างเรามีแต่สงครามตลอดมา แต่น่าเศร้าใจ ตอนทีผมอายุได้ 7 ปีและน้องสาวอายุเพียง 5 ปี คุณพ่อของเราก็ล้มป่วย และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็วในเวลาแค่เพียง 4-5 วัน หรือ หนึ่งสัปดาห์ประมาณนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่นาน.
หลังจากนั้นมาคุณแม่ก็เป็นผู้เลี้ยงเดี่ยวมาตลอดโดยไม่แต่งงานใหม่ แม่ต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ท่านทำงานหนักทุกอย่างด้วยความอดทน ผมเองก็พยายามชวยงานแม่ทุกอย่างเช่นกันผมเคยเห็นคุณแม่แอบร้องให้เมื่อเห็นผมพยายามช่วยทำงานของผู้ใหญ่ ผมไม่รู้สึกหดหู่ใจในวัยนั้นแต่กลับมองเป็นเรื่องสนุก ผมนึกถึงเพลงของพ่อที่ว่าไว้ว่า “แม้นบ้านเราจนแต่ไม่มีสงคราม” แต่ผมเห็นว่าการต่อสู้กับความทุกข์ยากก็คือสงครามอีกรูปแบบหนึ่งนะพ่อ.
เนื่องจากความขัดสนแต่กำเนิดบวกกับความจำเป็นในปัจจัยพื้นฐาน เราสองพี่น้องจึงได้เรียนหนังสือน้อย ผมเรียนแค่ประถมสี่และน้องสาวได้เรียนแค่ประถมหก มีคำพูดหนึ่งที่แม่บอกกับผมและมันก็เป็นกำลังให้แก่ผมจนทุกวันนี้ “จะจนยากอย่างไร ลูกก็เป็นคนดีของแม่เสมอ” เราทำนาเลี้ยงชีพกันมาจนน้องสาวมีอายุสมควรจะมีครอบครัวแม่จึงให้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านที่มาสู่ขอเธอ ผมออกจากบ้านและได้โอกาสไปเรียนเพิ่มเติมจนถึงชั้น ม.3 และเรียนวิชาชีพอีกหลายอย่าง แต่ผมเลือกทำอาชีพตัดผมและ เล่นดนตรี จนผมได้พบผู้หญิงที่ผมรักและคุณแม่ก็ยินดี เราจึงแต่งงานและมีลูกหญิงและชายในเวลาสองปีต่อมา เนื่องจากเราปราถนาให้ลูกได้เรียนหนังสือตามระบบที่มาตรฐานและดีเลิศ ทั้งผมเองก็ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองในที่ดินของภรรยา และตั้งใจไว้ว่าจะพาคุณแม่ไปอยู่ด้วยกัน ความใฝ่ฝันนี้นี่เองที่ทำให้ผมต้องห่างบ้านเกิดมาเสี่ยงดวงถึงไต้หวันอันแสนไกลในวันนี้.
ที่งานศพของคุณแม่ที่จังหวัด 101 ทุกคนต่างโศกเศร้ากับการจากไปของท่าน ผมเองเมื่อมองเห็นร่องรอยที่เคยอยู่เคยเล่นแต่เมื่อครั้งเป็นเด็ก และนึกถึงภาพที่เคยมีคุณแม่เคยอยู่กับทุกสิ่งทุกที่เวลานี้มันทำให้หัวใจของผมเหมือนโดนมีดกรีดซ้ำๆหลายๆรอบ มันเจ็บปวดทรมานเหลือเกินแต่ผมไม่มีน้ำตาจะไหลแล้ว เวลานี้มีเพียงหัวใจที่ร้องให้อยู่ไม่เคยหยุด แม่คงรับรู้ได้ว่า ลูกคนดีที่สุดของแม่กำลังจะทำฝันของเราให้เป็นจริงได้แล้ว ผมอยากให้คุณแม่ภูมิใจกับผมที่จะมีบ้าน อยากให้คุณแม่เป็นคนแรกที่ได้เข้าไปอวยพรบ้านใหม่ของผม แต่ท่านก็ได้แค่เพียงรับทราบข่าวที่ผมกำลังจะทำได้ โดยที่ยังไม่เห็นแม้แต่เสาบ้านที่เริ่มก่อตั้งไว้แล้ว.
แต่ผมจะมานั่งท้อแท้ใจแบบนี้อีกต่อไปไม่ดีแน่ คุณแม่ต้องไม่ชอบแน่ ผมตัดสินใจพาครอบครัวน้อยๆของผมไปฝากไว้กับคุณพ่อของภรรยา เพื่อเธอจะได้อยู่ดูแลคุณพ่อคุณแม่ของเธอด้วย และลูกสองคนของเราจะได้เรียนที่โรงเรียนที่มีมาตรฐานดีขึ้น ส่วนผมก็เดินทางมาไต้หวันอีกรอบ และได้ทำงานในโรงงานอย่างที่ปรารถนาไว้เมื่อคราวที่อำลาพั่งๆ กลับไปจัดการงานศพของคุณแม่เมื่อคราวแรกนั้น ที่เมืองธงเซียว – เหมียวลี่ ผมได้ทำงานที่โรงงานหลอมเหล็ก ที่นี่ผมได้พบเพื่อนใหม่อีกหลายคน ในจำนวนนั้นมีอาหยาง ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกของผมโดยตรง หัวหน้าไม่ชอบคนดื่มหล้า ส่วนผมก็ไม่ดื่มและไม่สูบ ดังนั้นหัวหน้าจึงเมตตาและสอนงานผมอย่างอาทร จนผมทำงานได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว อีกคนคือ อาซิ้ง ที่เป็นเพื่อนกับอาหยาง เขาเป็นหัวหน้าคนละแผนก และทั้งสองก็มักให้โอกาสผมทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ จึงเป็นผลดีต่อรายได้ของผม ทั้งสองคนชอบร้องเพลงเช่นเดียวกับพั่งๆเพื่อนเก่า ผมจึงทำตัวผสมกลมกลืนไปได้ง่ายๆนอกจากนี้ยังมีพี่สาวซึ่งเป็นคนสำคัญของผมอีกคน พี่แกเป็นคนเฝ้าตรวจเช็ครถบรรทุกที่ผ่านเข้าออกที่หน้าป้อมยาม พี่แกชอบร้องเพลงและร้องได้ไพเราะมากๆ เวลาว่างผมชอบไปฝึกร้องเพลงกับพี่แก นี่เป็นครั้งสำคัญที่ผมได้เรียนภาษากับเสียงเพลงจากเจ้าของภาษาโดยตรง ส่วนงานก็เป็นสิ่งง่ายสำหรับผมในเวลาไม่นานเป็นเพราะความใจกว้างของหัวหน้างานและเพื่อนที่ดีโดยแท้.
รายได้ของผมดีพอที่จะคิดหวังอะไรก็ไม่น่าจะเกินฝันในตอนนี้ ลูกทั้งสองได้เรียนในระดับวิทยาลัยซึ่งสมัยผมไม่กล้าแม้นแต่จะฝัน แต่เพราะผมได้พบ “ขุมทองแห่งมิตรภาพ”เช่นตอนนี้ แม้แต่ผมเองที่ไม่คาดคิดก็ยังได้เรียนระดับปริญญาตรีได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งผมมีเงินพอให้ซื้อกีต้าร์ไฟฟ้า อย่างที่ผมใฝ่ฝันมาตลอดและผมก็ได้มาเล่นมันสมใจ ผมนำมันไปเล่นเพื่อบริการสังคมฟรี ตามที่ต่างๆ รวมทั้งในเรือนจำทั่วไต้หวัน โดยการนำของศูนย์เพื่อนไทย จากการส่งเสริมของหัวหน้างานและพี่น้องต่างเชื้อชาติทำให้ผมทำสิ่งต่างๆได้อย่างมีคุณค่า จนมีคนบอกให้ผมเสนอผลงานเข้ารับการคัดเลือกร่วมโครงการ“บุตรธิดาแรงงานดีเด่น 2014” ระหว่างนี้ลูกของผมคนพี่ก็เรียนจบระดับ ปวส. พอดีเธอมีความประสงค์จะมาเรียนและทำงานที่ไต้หวันที่เธอรู้จักและประทับใจจากทางพ่อ ถึงแม้นเธอได้สิทธิ์ไปเรียนฟรีที่ญี่ปุ่นก็ตาม ดังนั้นผมจึงติดต่องานให้เธอ เป็นงานที่โรงงานอิเลคโทรนิคที่ ซินฟง
ในขณะนั้นชื่อของผมถูกแจ้งมาว่าได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการ “บุตรธิดาแรงงานดีเด่น 2014” ลูกชายและลูกสาวรวมทั้งผม เราทั้งสามพ่อลูกกำลังจะได้มาพบหน้ากันแบบไม่ใช่ในความฝันที่ต่างแดน มันช่างเป็นความปลื้มปิติยินดีของแรงงานไร้ฝีมือเช่นผมเสียจริงๆที่มีวันนี้กับเขาได้.
แต่แล้ว ข่าวร้ายก็มาเยือนโดยไม่ได้เชิญอีกครั้ง เมื่อภรรยาของผมโทรมาบอกว่า “คุณพ่อของเธอได้เสียชีวิตแล้วหลังจากป่วยมาได้ระยะหนึ่ง” ผมต้องรีบปลอบภรรยาและลูกทางโทรศัพท์ให้มีกำลังใจรับมือกับสถานการณ์ต่อไป มันเป็นทางเดียวที่ทำได้ในตอนนั้น เมื่อเธอพออาการดีขึ้นบ้างลูกสองคนก็เดินทางมาไต้หวันพอดี ชะตาชีวิตของคนมันช่างแปลกจริงๆ สองครั้งสองคราวที่ชีวิตของผมกำลังจะมีสุขสมบูรณ์ต่อเนื่องที่ไต้หวัน แต่กลับมีสิ่งร้ายๆเข้ามาเป็นอุปสรรคทุกที แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิตง่ายๆ ผมมั่นใจเสมอในมิตรภาพจากพี่น้องต่างเชื้อชาติและกำลังใจจากลูกเมียจะกระตุ้นใจผมให้สู้ต่อไปได้ดีแน่นอน.
การเสียชีวิตของญาติผู้ใหญ่ถึงสองคราวซ้อนในขณะที่ผมอยู่ไต้หวัน มันย่อมทำให้ผมเสียกำลังใจบ้างแน่นอนแต่โลกนี้อนิจจังไม่เที่ยง ใครๆก็ต้องตายทั้งสิ้น แต่คราวนี้ถึงวาระของพ่อแม่เรา ส่วน เราเองยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป และที่นี่มีขุมทองรอให้ใครๆได้ขุดหาอย่างเพียงพอเพื่ออนาคตของผู้คนมากมาย คงไม่เป็นการฉลาดหากผมจะทิ้งโอกาสอันวิเศษนี้ให้ผ่านไปโดยไม่ไขว่คว้า ไต้หวันให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวผมดีขึ้น, ไต้หวันให้การศึกษาของลูกทั้งสองรวมทั้งผมได้มาจนถึงระดับปริญญา, ไต้หวันให้ประสบการณ์มากมายที่ไม่อาจซื้อหาได้ด้วยเงิน แต่ได้มาฟรีๆทางมิตรภาพอันอบอุ่นจากพี่น้องชายหญิงต่างเชื้อชาติที่ได้มอบให้, ไต้หวันมอบพี่น้องชายหญิงที่น้ำใจงามหลายคนให้แก่ผม แม้นว่าผมจะเสียพ่อแม่ให้กับไต้หวันแต่นั่นเป็นเรื่องของสังขาร แต่ส่วนที่ผมได้กลับมานั้นมีค่ามากเกินที่จะประมาณได้ ขณะนี้สิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ผมจินตนากาลไม่พบเลยเมื่อก่อน แต่ว่าขณะนี้ช่างเป็นเหมือนพรจากฟ้าที่เทลงมาจนท่วมตัวและท่วมใจของผม ทุกๆวันผมมีความสุขเหมือนว่าโลกทั้งโลกยอมให้ผมมีส่วนร่วมบัญชาการโลกไปด้วยก็ไม่ปาน ผมมีความสุขกับไต้หวันทั้งเวลาหลับฝันและเวลาที่ตื่นอยู่ คนอื่นๆมากมายหลายชาติอาจมองไต้หวันแปลกไปจากผม นั่นไม่ใช่ธุระที่ผมต้องรับรู้ แต่สำหรับผมนี้ไต้หวันคือผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของผมและผมจะต้องจดจำไต้หวันไปจนวันสิ้นลมหายใจของผม และแง่มุมที่ประทับใจผมมากอีกมุมหนึ่งที่ผมยกไต้หวันไส้ให้เป็นคือ...
- ขุมทองแห่งมิตรภาพและเสียงเพลง-.
〈友誼和音樂之寶藏〉評審評語
朱天心:我選這篇的原因是因為他有很多很文學性的句子,對生活的捕捉也很細緻。
李美賢:我也同意。
蘇碩斌:我也認為文學性比較高,可惜的是主要都是敘述型。
曾文珍:這是泰文作品裡作品質量比較高的,順順的蠻好看,可惜文章裡有太多細節在牽扯。